แม้การผูก “ เนคไท ” จะไม่ใช่วัฒนธรรมการแต่งกายของไทย แต่กระบวนการผลิตถือว่าไม่แพ้ประเทศที่เป็นต้นตำรับ จากการศึกษาและเรียนรู้แพตเทิร์นจนชำนาญของอดีตมือขวาจิม ทอมป์สัน กลายเป็นผู้ผลิต เนคไท มือหนึ่งของไทย

กฤษดา – การันต์ เรสลี สองพี่น้องทายาทธุรกิจเนคไทแบรนด์ Immas

วันนี้เส้นทางธุรกิจรุ่นลูกชายเป็นผู้กุมบังเหียน ขณะที่ผู้เป็นพ่อแม่ก็ยังไม่รามือจากวงการนี้ แม้วัยจะล่วงเลยเข้าสู่ 70 ปีแล้ว แต่เขาทั้งคู่ขอทำงานที่รักและเป็นผู้บุกเบิกมาตั้งแต่ต้นเพื่อให้ลูกค้าได้สวมใส่ เนคไท ของไทยที่มีคุณภาพ

นายศักริยา เรสลี วัย 70 ปี ผู้ผลิตเนคไทรายแรกๆ ของไทย

“นายกฤษดา เรสลี” ลูกชายคนโต และน้องชายคนรอง “นายการันต์ เรสลี” ย้อนอดีตเมื่อครั้งวัยเยาว์ที่ต้องไปหาคุณพ่อ (ศักริยา เรสลี) ที่ร้านจิม ทอมป์สัน ทุกเย็นหลังเลิกเรียน โดยคุณพ่อเป็นผู้รับผิดชอบเรื่องการตลาด เนคไท ที่ทำจากผ้าไหม และการผลิตทั้งหมด ทำให้เขาทั้งคู่ซึมซับมาโดยตลอด

มารดาผู้อยู่เบื้องหลังความสำเร็จและดูแลการผลิต

“ก่อนที่คุณพ่อจะมาทำงานกับนายห้างจิม เคยรับราชการทหารผ่านศึกมาก่อน แต่คุณแม่ต้องการให้ทำงานที่ไม่ต้องเดินทางไกลบ้าน จึงลองสมัครเข้าทำงานกับนายห้างจิม โดยดูแลการขายผ้าไหม กระทั่งนายห้างต้องการเพิ่มมูลค่าผ้าไหมแบบผืน จึงมองไปที่ เนคไท ด้วยการนำเข้าต่างประเทศมาให้คุณพ่อลองแกะแพตเทิร์นและผลิตเพื่อจำหน่ายในร้าน แต่งานนี้ไม่ง่ายเลยเพราะไม่ใช่แค่ผ้าผืนเล็กๆ นำมาผูกคอเท่านั้น แต่กระบวนการผลิตยุ่งยากมาก จะทำอย่างไรให้ผูกแล้วไม่เบี้ยว และเมื่อคลายออกเนื้อผ้าไม่ยับ ไม่เสียทรง เปลี่ยนรูปไป ซึ่งคุณพ่อใช้เวลาเป็นปีกว่าจะทำ เนคไท ออกมาได้ตรงใจนายห้าง”

เนคไทผ้าขาวม้าเอาใจวัยรุ่น

หากย้อนกลับไปเมื่อ 50 ปีก่อน ผ้าไหมถือเป็นของมีค่า ราคาแพง ประกอบกับจิม ทอมป์สัน โปรโมตผ้าไหมไทยให้ประจักษ์แก่สายตาชาวโลกในเรื่องของความสวยงามและคุณภาพดี ทำให้ เนคไท ที่ทำจากผ้าไหมเติบโตตามไปด้วย

“คุณพ่อมีหน้าที่การผลิต เนคไท ทั้งหมด ซึ่งนายห้างก็ไม่เอาเปรียบครอบครัวเรา แต่ให้เราไปผลิตและนำมาส่งที่ร้านจิม ทอมป์สัน ด้วยการไปฝึกสอนชาวบ้านเย็บภายใต้การควบคุมการผลิตของครอบครัว ส่วนรายได้จะเป็นค่าแรงที่ทำการตัดเย็บให้ เพราะวัสดุในการจัดเย็บ ไม่ว่าจะเป็นผ้าไหม ด้าย เข็ม จะเป็นของจิม ทอมป์สัน ทั้งหมด ทำให้คุณพ่อมีรายได้เพิ่มขึ้นนอกเหนือจากการเป็นลูกจ้างของนายห้างด้วย”

ต่อมาเมื่อคุณภาพเนคไทที่มีคุณสมบัติตรงตามความต้องการของตลาดยอดขายก็เพิ่มขึ้นจากการจำหน่ายทั้งในไทยและต่างประเทศ ซึ่งยอดขายในช่วงที่เนคไทได้รับความนิยมสูงสุดอยู่ที่ 7,000 เส้น/เดือน แต่หลังจากที่นายศักริยา ย่างเข้าสู่วัย 60 ปี ตัดสินใจเกษียณอายุออกจากงานประจำ แต่ยังยึดอาชีพผลิตเนคไทอยู่ โดยให้ลูกชายทั้งสองเป็นผู้ดูแลกิจการ แตกไลน์เป็นผู้รับจ้างผลิตเนคไทให้องค์กร บริษัท ห้างร้านต่างๆ ตามแบบและเนื้อผ้าที่ต้องการ

เนคไทผลิตให้องค์กรต่างๆ

จากประสบการณ์ในแวดวงเนคไทไต่เต้ามาตั้งแต่ผู้บุกเบิก ผู้ผลิตเต็มตัว ส่งไม้ต่อให้แก่รุ่นลูก ทำให้ผู้คนที่ต้องทำงานเกี่ยวข้องกับเนคไทรู้จักกันดีและยอมรับในคุณภาพและฝีมือ ทำให้พวกเขากลายเป็นผู้ผลิตเนคไทมือหนึ่งของเมืองไทยไปแล้ว

ล่าสุดสองพี่น้องทายาทธุรกิจ ที่น้องชายคนเล็กเรียนจบมาทางด้านการออกแบบขอใช้วิชาที่ร่ำเรียนมา นำผ้าขาวม้ามาออกแบบเป็นเนคไทเจาะกลุ่มลูกค้าวัยรุ่นและคนรุ่นใหม่ โดยยังคงจุดเด่นของเนคไทไว้คือไม่ยับ สามารถสวมใส่ได้หลายครั้งโดยไม่ต้องรีดภายใต้แบรนด์ “Immas” และเคล็ดลับที่สำคัญที่สุดคือ “การวางเส้นด้าย” ให้ได้องศาเพื่อให้เนคไทคงรูปอยู่ได้

ตุ๊กตาทำจากผ้าขาวม้า

“โจทย์แรกก่อนที่เราคิดจะทำเนคไทผ้าขาวม้าคือจะทำอย่างไรให้เนคไทสามารถสวมใส่ได้ทั้งวัน และวัยรุ่นก็สวมใส่ได้ เราจึงลองนำผ้าขาวม้าที่ทำจากผ้าฝ้ายเส้นใยธรรมชาติแท้ 100% จากโรงงานของเพื่อนมาต่อยอด พร้อมออกแบบให้มีขนาดเล็กลง เส้นเล็ก ใส่กับเสื้อผ้าแฟชั่นได้ และลองนำสินค้าไปเสนอที่ศูนย์สร้างสรรค์งานออกแบบ (TCDC) ก็ได้รับความสนใจและให้นำสินค้าไปจัดแสดงในงาน POP by TCDCCONNECT ซึ่งเป็นกิจกรรมส่งเสริมความร่วมมือทางธุรกิจ ทำให้สินค้าและแบรนด์เป็นที่รู้จักมากขึ้น”

ปัจจุบันเนคไท Immas วางตำแหน่งเป็นผู้รับจ้างผลิตถึง 90% ส่วนอีก 10% เป็นแบรนด์ของตัวเองเพราะอยู่ในช่วงเริ่มต้นของการทำตลาด กำลังการผลิตอยู่ที่ 2,000 เส้น/เดือน ขายในราคาส่งอยู่ที่เส้นละ 550-750 บาท และในอนาคตจะเจาะตลาดเข้าสู่กลุ่มบริษัททัวร์ ร้าน Duty Free และห้างสรรพสินค้าชั้นนำ รวมถึงต่อยอดสร้างสรรค์ผลิตภัณฑ์อื่นๆ ที่ทำจากผ้าไหม เช่น กรอบรูป ตุ๊กตา ผ้าพันคอ ควบคู่ไปด้วย

ความภาคภูมิใจที่มีคุณพ่อเป็นกูรูในเรื่องของเนคไท ทำให้สองหนุ่มไม่ลังเลที่จะสานต่อธุรกิจนี้เพื่อให้เติบใหญ่เพื่อคนไทยได้ใช้สินค้าดีมีคุณภาพแทนการเสียเงินตราให้ต่างชาติ

ขอบคุณข้อมูลจาก : http://www.manager.co.th/iBizChannel/ViewNews.aspx?NewsID=9570000028448